วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

พันธุ์ดอกไม้ในโรงเรียน

พันธุ์ดอกไม้ของโรงเรียน



วัตถุประสงค์

1.อยากให้ทุกคนได้รู้จักพันธุ์ดอกไม้ในโรงเรียน
 2.ศึกษาพันธุ์ไม้ในโรงเรียน
3.ได้รู้ลักษณะของพันธุ์ดอกไม้แต่ละชนิด

ประโยชน์ที่ได้รับ                                                                                

1.ได้รู้จักพันธุ์ดอกไม้ในโรงเรียน
 2.ได้ศึกษาพันธุ์ไม้ในโรงเรียน
3.ได้รู้ลักษณะของพันธุ์ดอกไม้แต่ละชนิด

ดอกบัว


ชื่อสามัญ                        lotus
ชื่อวิทยาศาสตร์                Nymphaea lotus Linn.
วงค์                               NYMPHAEACEAE
บัว  พันธุ์ไม้น้ำที่ถือกันว่าเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ผุดผ่องและคุณงามความดีในพุทธศาสนา  พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบระดับสติปัญญาของมนุษย์กับการเจริญเติบโตของบัว  เป็น 4 เหล่าคือ  บัวในโคนตม  บัวใต้น้ำ  บัวปิ่มน้ำ  และบัวเหนือน้ำ  บัวเป็นพันธุ์ไม้น้ำที่ดูสง่างาม  ดอกมีขนาดใหญ่  มีสีสันสวยงาม  เด่นสะดุดตาสะดุดใจแก่ผู้พบเห็น  บางชนิดมีกลิ่นหอมน่าชื่นชม  ด้วยเหตุนี้เองบัวจึงได้รับสมญาว่า "ราชินีแห่งไม้น้ำ"
บัว  เป็นพืชน้ำชนิดหนึ่งอยู่ในวงศ์ Nymphaeaceae จัดเป็นพืชน้ำล้มลุกที่มีอายุหลายปี  พบได้ทั่วไปทั้งในเขตร้อน เขตอบอุ่นและเขตหนาว  จำแนกถิ่นกำเนิดและการเจริญเติบโตได้ 2 จำพวกคือ
1.           บัวที่เกิดและเจริญเติบโตในเขตอบอุ่นและเขตหนาว (Subtropical and Temperate Zones)  เช่น  ยุโรป  อเมริกาเหนือ  ภาคใต้ของอเมริกาใต้  ตอนเหนือของอินเดีย  จีนและออสเตรเลีย   บัวประเภทนี้มีเหง้าสะสมอาหารอยู่ในดิน  เมื่อถึงฤดูหนาวผิวหน้าของน้ำเป็นแผ่นน้ำแข็ง  จะทิ้งใบและอาศัยอาหารในเหง้าเลี้ยงตัวเอง  เมื่อเข้าฤดูใบไม้ผลิน้ำแข็งละลายหมดก็จะเจริญแตกหน่อต้นใหม่ และจะเจริญเติบโตออกดอกออกผลหมุนเวียนอยู่เช่นนี้เรื่อยไป  เรียกบัวประเภทนี้ว่า Hardy Type หรือ Hardy Waterlily  นักพฤกษศาสตร์จัดให้บัวประเภทนี้อยู่ในกลุ่ม Castalia Group หรือ อุบลชาติประเภทยืนต้น
2.           บัวที่เกิดและเจริญเติบโตในเขตร้อน (Tropical Zones)  เช่น  ทวีปเอเซียตอนกลางและตอนใต้  อาฟริกา  ออสเตรเลียตอนเหนือ  อเมริกากลางและอเมริกาใต้  บัวประเภทนี้กำเนิดและเจริญเติบโตได้ในเขตร้อนเขตเดียว  ถ้านำไปปลูกในเขตอบอุ่นหรือเขตหนาว เมื่อเข้าฤดูหนาวผิวหน้าของน้ำเป็นน้ำแข็งทำให้บัวประเภทนี้ต้องตายไป  จึงเรียกบัวประเภทนี้ว่า Tropical Type หรือ Tropical Waterlily  นักพฤกษศาสตร์จัดให้บัวประเภทนี้อยู่ในกลุ่ม Lotus Group หรือ อุบลชาติประเภทล้มลุก
ลักษณะทั่วไป
บัวเป็นพืชน้ำล้มลุก  ลักษณะลำต้นมีทั้งที่เป็น เหง้า ไหล หรือหัว  ใบเป็นใบเดี่ยวเจริญขึ้นจากลำต้น  โดยมีก้านใบส่งขึ้นมาเจริญที่ใต้น้ำ ผิวน้ำหรือเหนือน้ำ  รูปร่างของใบส่วนใหญ่กลมมีหลายแบบ  บางชนิดมีก้านใบติดอยู่ที่หลังใบ  ดอกเป็นดอกเดี่ยวสมบูรณ์เพศ  ประกอบด้วยกลีบเลี้ยง 4-6 กลีบ  กลีบดอกมีทั้งชนิดซ้อนและไม่ซ้อน  มีสีสันแตกต่างกันแล้วแต่ชนิด  บัวที่พบและนิยมปลูกในประเทศไทยมีอยู่ 3 สกุล คือ
1.           สกุลบัวหลวง (Lotus)  เป็นบัวในสกุล Nelumbo มีชื่อเรียกกันทั่วไปว่า ปทุมชาติ หรือ บัวหลวง  มีถิ่นกำเนิดแถบเอเชีย เช่น  จีน  อินเดียและไทย  มีลำต้นใต้ดินแบบเหง้าและไหลซึ่งเมื่อยังอ่อนจะมีลักษณะเรียวยาว  เมื่อโตเต็มที่จะอวบอ้วนเนื่องจากสะสมอาหารไว้มาก  มีข้อปล้องเป็นที่เกิดของราก  ใบและดอกเกิดจากหน่อที่ข้อปล้องแล้วเจริญขึ้นมาที่ผิวน้ำหรือเหนือน้ำ  ใบเป็นใบเดี่ยวมีลักษณะกลมใหญ่สีเขียวอมเทา  ขอบใบยกผิวด้านบนมีขนอ่อนๆ ทำให้เมื่อโดนน้ำจะไม่เปียกน้ำ  เมื่อใบยังอ่อนใบจะลอยปิ่มน้ำ  ส่วนใบแก่จะช฿พ้นน้ำ  ก้านใบและก้านดอกมีหนาม  ดอกเป็นดอกเดี่ยวขนาดใหญ่ชูสูงพ้นผิวน้ำ  มีทั้งดอกป้อมและดอกแหลม  บานในเวลากลางวันมีกลิ่นหอมอ่อนๆ  ประกอบด้วยกลีบเลี้ยง 4-6 กลีบ  ด้านนอกมีสีเขียว  ด้านในมีสีเดียวกับกลีบดอก  กลีบดอกมีทั้งชนิดดอกซ้อนและไม่ซ้อน  สีของกลีบดอกมีทั้งสีขาว ชมพู หรือเหลือง แตกต่างกันแล้วแต่ชนิดพันธุ์  บัวในสกุลนี้เป็นบัวที่รู้จักกันดีเพราะเป็นบัวที่มีดอกใหญ่นิยมนำมาไหว้พระและใช้ในพิธีทางศาสนา  เหง้าหรือที่มักเรียกกันว่ารากบัวและไหลบัวรวมทั้งเมล็ดสามารถนำมาเป็นอาหารได้
2.           สกุลบัวสาย (Waterlily)  เป็นบัวในสกุล Nymphaea มีชื่อเรียกกันทั่วไปว่า อุบลชาติ หรือ บัวสาย  บัวสกุลนี้มีลำต้นใต้ดินเป็นหัวหรือเหง้า  ใบและดอกเกิดจากตาหรือหน่อและเจริญขึ้นมาที่ผิวน้ำด้วยก้านส่งใบและยอด  บางชนิดมีใบใต้น้ำ  ใบเป็นใบเดี่ยว  มีขอบใบทั้งแบบเรียบและแบบคลื่น  ผิวใบด้านบนเรียบเป็นมัน  ด้านล่างมีขนละเอียดหรือไม่มี  ดอกเป็นดอกเดี่ยวมีทั้งชนิดที่บานกลางคืนและบานกลางวัน  บางชนิดมีกลิ่นหอม  มีสีสันหลากหลายแตกต่างกันไป
3.           สกุลบัววิกตอเรีย (Victoria)  เป็นบัวในสกุล Victoria มีชื่อเรียกกันทั่วไปว่า บัวกระด้ง จัดเป็นบัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุด  มีลำต้นใต้ดินเป็นหัวใหญ่  ใบเป็นใบเดี่ยวมีขนาดใหญ่ประมาณ 6 ฟุต ลอยบนผิวน้ำ  ใบอ่อนมีสีแดงคล้ำเมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม  ขอบใบยกขึ้นตั้งตรง  มีหนามแหลมตามก้านใบและผิวใบด้านล่าง  ดอกเป็นดอกเดี่ยวขนาดใหญ่  ก้านดอกและกลีบเลี้ยงด้านนอกมีหนามแหลม  บานเวลากลางคืนและมีกลิ่นหอม  ดอกประกอบด้วยกลีบเลี้ยงจำนวน 4 กลีบ ด้านนอกมีสีเขียวด้านในสีเดียวกับกลีบดอก  เมื่อเริ่มบานกลีบดอกจะมีสีขาวและจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูต่อไป
การปลูกเลี้ยงและดูแลรักษา
แสงแดด  บัวเป็นพืชที่ชอบแสงแดดจัด  จึงควรให้บัวได้รับแสงแดดเต็มที่วันละ 4 ซม. เป็นอย่างน้อย  ถ้าปลูกบัวในที่ร่มเกินไปบัวจะออกดอกน้อยหรือไม่ออกดอกเลย
การให้ปุ๋ย  เมื่อเห็นว่าบัวที่ปลูกชะงักการเจริญเติบโต 
ดิน  ที่เหมาะในการใช้ปลูกบัวคือ ดินเหนียว ดินท้องร่องที่มีธาตุโปแตสเซียมสูง  ไม่ควรใช้ดินที่มีซากอินทรีย์วัตถุที่ยังย่อยสลายไม่หมดเพราะจะทำให้น้ำเสียและอาจทำให้ต้นเน่าได้
น้ำ  ต้องเป็นน้ำที่สะอาด  ค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) อยู่ระหว่าง 5.5-8.0  อุณหภูมิควรอยู่ระหว่าง 15-35 องศาเซลเซียส ไม่ควรเกิน 50 องศาเซลเซียส  ระดับความลึกของน้ำที่บัวต้องการแบ่งเป็น 3 ระดับ  คือ
1.           น้ำตื้น  คือบัวที่ต้องการน้ำลึกระหว่าง 15-30 ซม.  มีผิวหน้าของน้ำในการแผ่กระจายของใบประมาณ 50X50 ซม.
2.           น้ำลึกปานกลาง  คือบัวที่ต้องการความลึกระหว่าง 30-60 ซม.  มีผิวหน้าของน้ำในการแผ่กระจายของใบประมาณ 1X1 เมตร
3.           น้ำลึกมาก  คือบัวที่ต้องการความลึกของน้ำอยู่ระหว่าง 60-120 ซม
ระดับน้ำที่เหมาะสมกับความต้องการของบัวสังเกตุได้จาก  ก้านดอกจะส่งดอกตั้งตรงในแนวดิ่ง  ก้านใบไม่ควรแผ่กว้างกว่า 45 องศา
ใบเล็กลงกว่าปกติ  ใบด้านขาดความมัน เหลือง แก่เร็วขึ้น  แสดงว่าบัวขาดธาตุอาหารหรือปุ๋ย  วิธีการให้ปุ๋ยบัวจะแตกต่างกับการให้ปุ๋ยพืชชนิดอื่นคือ   ต้องทำปุ๋ย "ลูกกลอน"  โดยนำปุ๋ยสูตรเสมอ 10-10-10 หรือ 15-15-15 ประมาณ 1 ช้อนชา ห่อด้วยดินเหนียวแล้วปั้นเป็นลูกกลอนผึ่งลมให้แห้ง  ถ้าปลูกบัวไม่มากอาจใช้กระดาษหนังสือพิมพ์แทนดินเหนียว  ห่อ 2-3 ชั้น  นำปุ๋ยลูกกลอนที่ทำไว้ฝังห่างจากโคนต้นประมาณ 5-8 ซม.  สำหร้บบัวเผื่อน บัวสาย และจงกลณีที่มีการเจริญเติบโตในทางดิ่งให้ฝังด้านใดก็ได้  แต่สำหรับบัวหลาง บัวฝรั่ง และอุบลชาติ  ซึ่งมีการเจริญเติบโตในแนวนอนให้ฝังด้านหน้าแนวการเจริญเติบโตของเหง้าหรือไหล
โรคและแมลงศัตรู
  • โรคใบจุด  เกิดจากเชื้อรา  ระบาดมากในช่วงฤดูฝนซึ่งสภาพอากาศมีความชื้นสูง  มักเกิดบนใบบัวที่แก่  อาการของโรคจะเป็นแผลหรือจุดวงกลมสีเหลือง  เมื่อแผลขยายกว้างจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล   ตรงกลางแผลแห้ง  ป้องกันและแก้ไขโดยเด็ดใบที่แก่หรือเป็นโรคทิ้ง
  • โรคเน่า  มักเกิดกับบัวกลุ่มอุบลชาติและบัวกระด้ง  สาเหตุเกิดจากดินที่ใช้ปลูกมีมูลสัตว์ที่ยังเน่าเปื่อยไม่หมด  ทำให้หัว เหง้า หรือโคนต้นเละ  ต้นแคระแกนและตาย  เมื่อเห็นว่าต้นแสดงอาการควรรีบนำต้นขึ้นมาตัดส่วนที่เน่าทิ้ง  เปลี่ยนดินปลูกใหม่  หรือเก็บต้นและดินบริเวณที่เป็นโรคทำลายทิ้งเสีย
  • เพลี้ยไฟ  มักเกิดกับบัวที่ยังอ่อนอยู่  ทำให้ใบหงิกไม่คลี่  ด้านหลังใบจะมีรอยช้ำเป็นสีชมพูเรื่อๆ  ต่อมาจะแห้งและดำ  ถ้าเข้าทำลายดอกและก้านดอกจะทำให้ดอกที่ตูมอยู่เหี่ยวและแห้งเป็นสีดำ   ก้านดอกแห้งเป็นสีน้ำตาลและหักง่าย
  • เพลี้ยอ่อน  จะดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณโคนก้านดอก  ก้านใบ  และใบอ่อนที่โผล่เหนือน้ำ  ลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลดำ  ทำให้ดอกตูมและใบมีขนาดเล็ก  สีเหลืองซีดและแห้งตาย
  • หนอน  ได้แก่  หนอนชอนใบ , หนอนกระทู้ , หนอนผีเสื้อ , หนอนกอ  จะดูดน้ำเลี้ยงและกัดกินใบบัว  หนอนและแมลงที่กล่าวมาสามารถกำจัดและควบคุมได้โดยใช้  โมโนโครโตฟอส (Monocrotophos) ซึ่งมีชื่อทางการค้าว่า อะโซดริน60 (Azodrin60)  มาลาไธออน (Malathion) ซึ่งมีชื่อทางการค้าว่า มาลาเฟซ (Malafez)  โดยใช้ในอัตรา 1 ซีซี. ต่อน้ำ 1 ลิตร ฉีดพ่นทุกๆ สัปดาห์จนกว่าหนอนและแมลงศัตรูจะหมด
  • หอย  จะเป็นตัวบอกว่าน้ำในบ่อดีหรือเสีย  ถ้าน้ำเสียออกซิเจนในน้ำมีไม่เพียงพอหอยจะลอยตัวหรือเกาะอยู่ตามขอบบ่อเพื่อหาออกซิเจนหายใจ  ถ้าเป็นเช่นนี้ให้รีบเปลี่ยนถ่ายน้ำในบ่อปลูก  แต่ถ้าในบ่อมีหอยมากเกินไปหอยจะอาศัยดูดน้ำเลี้ยงจากใบอ่อนหรือทำให้ก้านใบขาดได้  จึงควรกำจัดออกบ้างโดยการเก็บออก  หรือถ้าปลูกในบ่อที่มีขนาดใหญ่อาจจะเลี้ยงปลาช่อนให้ช่วยกินตัวอ่อนของหอยก็ได้
การขยายพันธุ์
การแยกเหง้า  บัวในเขตอบอุ่นและเขตหนาวที่มีลำต้นเป็นแบบเหง้าสามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยวิธีแยกหน่อหรือต้นอ่อนจากเหง้าต้นแม่ไปปลูก  โดยตัดแยกเหง้าที่มีหน่อหรือต้นอ่อนยาว 5-8 ซม. ตัดรากออกให้หมด  ถ้าเป็นต้นอ่อนสามารถนำไปปลูกยังที่ต้องการได้เลย  ถ้าเป็นหน่อให้นำไปปลูกในกระถางขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20-25 ซม.  ฝังดินให้ลึกประมาณ 3-5 ซม. กดดินให้แน่น  เทน้ำให้ท่วมประมาณ 8-10 ซม.  ดินที่ใช้ควรเป็นดินเหนียวเพื่อช่วยจับเหง้าไม้ให้ลอยขึ้นเหนือผิวน้ำ  เมื่อหน่อเจริญเติบโตเป็นต้นใหม่จึงย้ายไปปลูกยังที่ต้องการ
การแยกไหล  บัวในเขตร้อนโดยเฉพาะบัวหลวงจะสร้างไหลจากหัวหรือเหง้าของต้นแม่แล้วไปงอกเป็นต้นใหม่  สามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยวิธีตัดเอาไหลที่มีหน่อหรือปลิดต้นใหม่จากไหลไปปลูก  การตัดไหลที่มีหน่อไปปลูกควรตัดให้มีขนาดความยาวประมาณ 2-3 ข้อ และมีตาประมาณ 3 ตา  นำไหลที่ตัดฝังดินให้ลึก 3-5 ซม. กดดินให้แน่น  ต้นอ่อนจะขึ้นจากตาและเจริญเป็นต้นใหม่ต่อไป
การแยกต้นอ่อนที่เกิดจากใบ  บัวในเขตร้อนสกุลบัวสายบางชนิดจะแตกต้นอ่อนบนใบบริเวณกลางใบตรงจุดที่ต่อกับก้านใบหรือขั้วใบ  สามารถขยายพันธุ์ได้โดยตัดใบที่มีต้นอ่อนโดยตัดให้มีก้านใบติดอยู่ 5-8 ซม.  เสียบก้านลงในภาชนะที่ใช้ปลูกให้ขั้วใบที่มีต้นอ่อนติดกับผิวดิน  ใช้อิฐหรือหินทับแผ่นใบไม่ให้ลอย  เติมน้ำให้ท่วมยอด 6-10 ซม.  ประมาณ 2 สัปดาห์ ต้นอ่อนจะแตกรากยึดติดกับผิวดินและเจริญเติบโตต่อไป
การเพาะเมล็ด  การขยายพันธุ์วิธีนี้ไม่ค่อยนิยมปฏิบัติเนื่องจากยุ่งยากและต้องใช้เวลานาน  ยกเว้นบัวกระด้งที่ต้องขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดเท่านั้น  นอกจากนี้การเพาะเมล็ดมักนิยมใช้กับเมล็ดบัวที่ได้จากการผสมพันธุ์บัวขึ้นมาใหม่แล้วเก็บเอาเมล็ดนำมาเพาะ  เพื่อสะดวกในการคัดแยกพันธุ์  วิธีการเพาะเมล็ดมีดังนี้  เตรียมดินเหนียวที่ไม่มีรากพืช  ใส่ลงในภาชนะปากกว้างที่มีความลึกประมาณ 25-30 ซม.  โดยไส่ดินให้สูงอย่างน้อย 10 ซม. ปรับแต่งหน้าดินให้เรียบและแน่น  เติมน้ำให้สูงจากหน้าดินประมาณ 7-8 ซม.  นำเมล็ดที่จะใช้เพาะโรยกระจายบนผิวน้ำให้ทั่ว  เมล็ดจะค่อยๆ จมลงใต้น้ำ  สำหรับเมล็ดบัวหลวงและบัวกระด้งเมล็ดมีขนาดใหญ่  ให้กดเมล็ดให้จมลงไปในดินแล้วเติมน้ำให้สูงจากผิวดินประมาณ 15 ซม.  นำภาชนะที่เพาะไปไว้ในที่มีแดดรำไร  ประมาณ 1 เดือน เมล็ดจะเริ่มงอกเป็นต้นอ่อน  เมื่อต้นอ่อนแข็งแรงและมีใบประมาณ 2-3 ใบ จึงแยกนำไปปลูกยังที่ต้องการ
การผสมพันธุ์
ดอกบัวจัดเป็นดอกสมบูรณ์เพศมีเกสรตัวผู้และตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน  เกสรตัวเมียจะบานก่อนเกสรตัวผู้ 1-2 วัน  ดังนั้นเกสรตัวเมียจึงมักได้รับการผสมพันธุ์จากเกสรตัวผู้ของดอกอื่น  โดยมีลมและแมลงเป็นตัวช่วยในการผสมพันธุ์แต่การผสมพันธุ์บัวเพื่อให้ได้บัวพันธุ์ใหม่ที่มีสีสวยแปลกออกไปและเพื่อเป็นการพัฒนาสายพันธุ์จึงมักเป็นการผสมพันธุ์โดยมนุษย์ช่วยผสมพันธุ์  โดยคัดเลือกบัวพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ที่จะนำมาผสม  ก่อนดอกแม่บาน 1-2 วัน ให้ทำการเปิดดอกแล้วใช้กรรไกรขลิบตัดเกสรตัวผู้ออกให้หมดแล้วคลุมดอกด้วยผ้ามุ้งตาถี่ๆ เพื่อกันเกสรตัวผู้จากดอกอื่นที่ไม่ต้องการเข้ามาผสม  เมื่อดอกแม่บานให้ขลิบตัดเอาเกสรตัวผู้จากดอกต้นพ่อพันธุ์และควรเป็นดอกที่บานแล้วประมาณ 2 วัน มาใส่บนเกสรตัวเมียของดอกแม่แล้วคลุมด้วยผ้ามุ้งตามเดิม  ดอกแม่เมื่อได้รับการผสมแล้วถ้าผสมไม่ติดดอกจะลอยอยู่ปริ่มน้ำแล้วจะโรยไป  ถ้าผสมติดดอกจะเริ่มกลายเป็นฝักโดยดอกจะค่อยๆ จมลงใต้น้ำประมาณ 2 สัปดาห์  เมื่อดอกเจริญเป็นฝักแก่และมีเมล็ดแก่ก็จะลอยขึ้นมาบนผิวน้ำใหม่อีกครั้ง  จึงเก็บเอาฝักแก่มาแยกเอาเมล็ดนำไปเพาะเมล็ดต่อไป

 ดอกคุณนายตื่นสาย

      คุณนายตื่นสายเป็นไม้คลุมดิน ลำต้นอวบน้ำสีม่วงแดง แผ่ทอดเลื้อยไปตามผิวดิน ใบเดี่ยว เรียงสลับ ใบรูปไข่กลับแกมรูปรี กว้าง 1-2 เซนติเมตร ยาว 2-3 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ แผ่นใบอวบน้ำ ผิวใบด้านบนสีเขียวอ่อนถึงเขียวเข้ม บางพันธุ์มีขอบใบขลิบสีแดง

ดอกสีขาว ชมพู แดง เหลือง ส้ม ออกเป็นดอกเดี่ยวตามซอกใบหรือปลายกิ่ง กลีบดอกชั้นเดียว บอบบาง ขอบกลีบดอกหยักเป็นคลื่น บานเมื่อได้รับแสงแดดตอนเช้า ดอกบานเต็มที่กว้าง 1-1.5 เซนติเมตร ผลแห้งแตก มีเมล็ดจำนวนมาก
การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด การปลูกและการดูแลรักษา 

คุณนายตื่นสายนั้นเหมาะที่จะปลูกในที่ ๆ มีอากาศร้อน และแห้งแล้ง 
ปกติคุณนายตื่นสายชอบดินทรายหรือดินปนทราย ไม่ชอบแฉะ จึงทนแล้งได้ดีกว่าแฉะ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเตรียมดิน ที่มีการระบายน้ำได้ดี 
ระยะเวลาจากเพาะเมล็ดจนให้ดอกประมาณ 6-8 สัปดาห์


 เฟื่องฟ้า

ชื่อวิทยาศาสตร์             Bougainvillea spp.
วงศ์                           NYCTAGINACEAE
ชื่อสามัญ                    Bougainvillea
ถิ่นกำเนิด                    บราซิล
ลักษณะทั่วไป
เฟื่องฟ้าเป็นไม้ยืนต้นประเภทพุ่มกึ่งเลื้อยอายุยืนหลายสิบปี ขนาดตั้งแต่พุ่มเล็กถึงพุ่มใหญ่ มีหนามขึ้นตามลำต้นอยู่เหนือใบ ใบเป็นใบเดี่ยวแตกออกสลับกับกิ่งหรือเยื้องกัน มีขนขึ้นปกคลุมเล็กน้อย มีสีเขียวหรือใบด่าง รูปร่างรีแหลมยาว 3-6 ซม. กว้าง 2.5 ซม. ใบประดับลักษณะคล้ายรูปหัวใจหรือรูปไข่มี 3-5 ใบ มีหลายสี เช่น ม่วง แดง ชมพู ส้ม ฟ้า เหลืองและอื่นๆ ผู้พบเห็นทั่วไปมักเข้าใจว่าใบประดับคือดอก ดอกมีทั้งดอกสมบูรณ์เพศและไม่สมบูรณ์เพศ ออกเป็นช่อตามซอกใบหรือปลายกิ่ง แต่ละช่อมี ดอก เป็นหลอดยาว 1-2 ซม. ติดอยู่ที่เส้นกลางใบของใบประดับ ส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าดอกคือเกสรดอก ดอกเป็นชนิดไม่มีกลีบดอก มีกลีบเลี้ยง กลีบ มีเกสรตัวผู้ 5-10 อัน การปลูกเลี้ยงในประเทศไทยมักจะเกิดการกลายพันธุ์ โดยเนื้อเยื่อบริเวณตามีการเปลี่ยนแปลงในระดับเซลทำให้ส่วนต่างๆ เปลี่ยนไป เช่น สีของใบประดับเปลี่ยนไป กลายพันธุ์เป็นใบประดับซ้อน กลายพันธุ์เป็นใบด่าง กลายพันธุ์เป็นดอกกระจุก เป็นต้น
พันธุ์เฟื่องฟ้าที่ปลูกเป็นไม้มงคล
1. พันธุ์ดอกสีแดง ได้แก่ แดงจินดา แดงรัตนา แดงบานเย็น  ตรุษจีนด่าง สาวิตรี กฤษณา
2. พันธุ์ดอสีขาว ได้แก่ ทัศมาลีดอกขาว ขาวน้ำผึ้ง สุมาลี สุวรรณี
3. พันธุ์ดอสีชมพู ได้แก่ ชมพูจินดา ชมพูทิพย์ ชมพูนุช
4. พันธุ์ดอกสีม่วง ได้แก่ ม่วงประเสริฐศรี พรสุมาลี ม่วงกฤษณา ทัศมาลี
5. พันธุ์ดอกสีส้ม ได้แก่ สุมาลีสีทอง
6. พันธุ์ดอกสีเหลือง ได้แก่ เหลืองอรทัย
การดูแล
แสง               ชอบแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง

น้ำ                ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง ควรให้น้ำ 3-5 วัน/ ครั้ง

ดิน               ชอบดินร่วนซุย มีความชุ่มชื้น

ปุ๋ย              ควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 0.5-1 กิโลกรัม/ต้น ใส่ปีละ 4-6 ครั้งหรือใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ สูตร 15-15-15 อัตรา200-300 กรัม/ต้น ใส่ปีละ 4-6 ครั้ง

การขยายพันธ์          ไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องโรค ส่วนแมลงนั้นจะมีเพลี้ยรบกวนบ้างในบางครั้ง แต่ควรระวังอย่าให้น้ำขังแฉะเพราะจะทำให้รากเน่า

โรค           ไม่ค่อยมีโรคที่เป็นปัญหา ส่วนแมลงที่รบกวน ได้แก่ พวกเพลี้ยแป้งและเพลี้ยหอย ซึ่งจะพบมากใน                  

การป้องกันกำจัด     ใช้ยาฉีดพ่นโดยใช้ ไดอาชินอน ตามที่ระบุไว้ในฉลากยา

 ดอกกล้วยไม้ ( Orchid )


ดอกกล้วยไม้ ต้องการดูแลเป็นพิเศษ   ดอกกล้วยไม้สามารถอยู่ในแจกันได้นานตราบเท่าที่มันจุ่มอยู่ในน้ำ  เวลาที่คุณซื้อดอกกล้วยไม้ ก้านของมันอาจจะใส่ไว้ในหลอดน้ำหรือไม่ก็พันด้วยสำลีชุบน้ำ ให้ดึงมันออกแล้วตัดก้านขึ้นอีกนิดก่อนที่จะวางลงในน้ำสะอาด    ดอกกล้วยไม้ควรหลีกเลี่ยงจากความร้อน  ลมโกรก หรือ พัดลม แอร์ หรืออะไรก็ตาม ที่ทำให้สูญเสียความชุ่มชื้น หมั่นพรมน้ำ หากดอกดูเหี่ยวลง ให้แช่ทั้งดอกลงในน้ำประมาณ 1 ชั่วโมง ไม่ควรวางดอกกล้วยไม้ไว้ใกล้ผักผลไม้ หรือดอกไม้เหี่ยวอื่นๆ เพราะดอกกล้วยไม้ไวต่อก๊าซเอทิลีนมาก

ความเป็นมาดอกกล้วยไม้ สัญลักษณ์และถิ่นกำเนิด
ชื่อของ “orchid” มาจากคำว่า “orchis” ซึ่งแปลว่า ลูกอัณฑะ!  ส่วนตำนานของดอกกล้วยไม้ เป็นหนึ่งในเรื่องเกี่ยวกับตัณหา ความโลภ  และความมั่งคั่ง สมบูรณ์ ดอกไม้บางชนิดถูกเรียกว่า “Ladies’ fingers”  “Ladies’ tresses” หรือ “long purples”    ดอกกล้วยไม้ได้รับความนิยมมากในยุค 80   ครั้งหนึ่งถึงขนาดที่ว่ามีการตัดต้นไม้กว่า 400 ต้นเพื่อนำมาใช้ปลูกดอกกล้วยไม้เลยทีเดียว
ดอกกล้วยไม้มีพันธุ์ต่างๆเกือบ  2500 ชนิด หญิงสาวชาวกรีก เชื่อว่า  รากของกล้วยไม้สามารถกำหนดเพศของลูกในท้องเธอได้   ถ้าผู้เป็นพ่อได้กินเหง้าหรือหน่อดอกกล้วยไม้ใหม่ และมีขนาดใหญ่ เด็กในท้องจะเป็นผู้ชาย และถ้าผู้เป็นแม่กินหัวเหง้าที่มีลักษณะเล็ก หรือหน่ออันเล็ก เด็กจะเป็นผู้หญิง
ดอกกล้วยไม้นารี (Paphiopedilum) ได้ชื่อมาจาก วิหาร Phaphos ในไซปรัส  ซึ่งเทพวีนัสได้มาสวดมนต์ที่นี่ และที่รู้จักแพร่หลายที่สุด  คือ  วนิลา (อยู่ในสกุลกล้วยไม้ที่ใช้ฝักมาทำอาหาร) ซึ่งชาวแอสเทค  (Aztecs)  เชื่อว่า จะให้ความแข็งแกร่งแก่ร่างกายเมื่อดื่มช๊อคโกแลตใส่วนิลา
ดอกกล้วยไม้เป็นดอกไม้อันสง่างาม  ที่มีความหมายเป็นสากล ได้แก่  ความรัก   ความงาม   ความปราดเปรื่อง และการเอาอกเอาใจ ในเมืองจีน ดอกกล้วยไม้เป็นสัญลักษณ์ของความละเอียดลออ  และความไร้เดียงสาของเด็กๆ   กล้วยไม้สีชมพูแสดงถึง รักอันบริสุทธิ์   ดอกคัทลียาเป็นเครื่องหมายแห่งความเสน่หา และความหลงใหล   

 เข็ม


ชื่อพื้นเมือง  :  เข็ม
ชื่อวิทยาศาสตร์  :  Ixora , spp.
ชื่อสามัญ (Common Name)  :  West Indian Jasmine
ชื่อวงศ์ (Family Name)  :  Rubiaceae
ลักษณะของดอกเข็ม  :
เป็นไม้พุ่ม ออกดอกเป็นช่อที่ปลายยอดหรือกิ่งข้าง ดอกมีหลากสีด้วยกันคือ สีแดง ส้ม ชมพู เหลือง และขาว เป็นต้น
ดอกเข็มมีลักษณะเป็นหลอดเล็ก ๆ ที่ปลายหลอดมีกลีบแยกจากกันเป็น 4 กลีบ ถ้าดอกซ้อนอาจจะมีถึง 8 กลีบ หรือมากกว่านั้น
เกสรตัวผู้ติดอยู่ที่หลอดดอกด้านบน และอยู่สลับกับกลีบ เกสรตัวเมียยื่นเลยหลอดดอกออกมา มี 2 แฉก เข็มจะออกดอกตลอดทั้งปี
น้ำหวานจากดอกเข็มมีปริมาณมาก เราสามารถดูดน้ำหวานด้วยปากโดยตรงจากดอกเข็มแต่ละดอกได้โดยง่าย

การขยายพันธุ์  :  การเพาะเมล็ด และด้วยการตอน
สรรพคุณของดอกเข็ม  :
ราก      :   มีรสหวานใช้รับประทานแก้โรคตา เจริญอาหาร
ใบ       :  ใช้เป็นยาฆ่าพยาธิ ดอกแก้โรคตาแดง ตาแฉะ ผลแก้โรคริดสีดวงในจมูก
เปลือก  :  ใช้ตำคั้น เอาน้ำหยอดหูฆ่าแมงคาเรืองเข้าหู
เข็ม (อังกฤษ: Ixora) เป็นไม้พุ่มจัดอยู่ในวงศ์ Rubiaceae ลักษณะของดอกจะเกิดจากการอยู่รวมกันเป็นช่อ ๆ มีหลากหลายสี มีคุณค่าทางสมุนไพร ดอกเข็มที่ยังตูมสามารถนำมาชุบแป้งหรือไข่ทอดทานเป็นอาหารได้
เข็มเป็นพืชที่ต้องการแสงแดดจัด ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง สามารถทนต่อความแห้งแล้ง การให้น้ำ 3-5 วัน/ครั้ง ชอบดินร่วนซุย ดินร่วนปนทราย มีความชุ่มชื้น ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 0.5-1 กิโลกรัม/ต้น ควรใส่ 5-6 ครั้ง/ปี ขยายพันธุ์โดยการปักชำ การเพาะเมล็ด การตอน วิธีที่ได้ผลดีและนิยมกัน คือ การปักชำและการตอน ไม่ค่อยพบและมีปัญหาเรื่องโรค เพราะเป็นไม้ที่ทนทานต่อโรคได้ดี
การเพาะปลูก
การปลูกในกระถางเพื่อประดับภายนอกอาคารบ้านเรือน
ใช้กระถางทรงสูงขนาด 8-12 นิ้ว ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก แกลบผุ ดินร่วนอัตรา 1:1:1 ผสมดินปลูกควรเปลี่ยนกระถางปีละครั้งเพราะการเจริญเติบโตของทรงพุ่มโตขึ้นและเพื่อเปลี่ยนดินปลูกใหม่ทดแทนดินปลูกเดิมที่เสื่อมสภาพไป
การปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน
นิยมปลูกเป็นกลุ่มตกแต่งสวนบริเวณบ้านหรือปลูกเป็นแนวรั้วก็ได้ สามารถตัดแต่งและบังคับรูปทรงได้ตามความเหมาะสม และความต้องการของผู้ปลูก ขนาดหลุมปลูก 30 x 30 x 30 เซนติเมตร ใช้ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก ดินร่วน อัตรา 1:2 ผสมดินปลูก
ความเชื่อ
คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกเข็มไว้ประจำบ้าน จะทำให้มีความฉลาดเฉียบแหลม เพราะเข็มคือสิ่งที่มึความแหลมคมดังนั้นคนไทยโบรานจึงใช้ดอกเข็มในพิธีไหว้ครูเพื่อจะได้เป็นนักปราชญ์ที่มีสติปัญญาฉลาดเฉียบแหลมนอกจากนี้ยังใช้ดอกเข็มเป็นเครื่องบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และพิธีทางศาสนาได้เป็นสิริมงคลยิ่งนัก
เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นเข็มไว้ ทางทิศตะวันออก ผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธเพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพือเอาประโยชน์ทั่วไปทางดอก ให้ปลูกในวันพุธ
 ชวนชม




ชวนชม (Desert Rose; Impala Lily; Mock Azalea) เป็นชื่อของพรรณไม้ที่มีสีสันของดอกสวยงาม เป็นไม้ที่ปลูกเลี้ยงง่าย ทนต่อสภาพแห้งแล้งมาก จนได้รับสมญาว่า Desert Rose (กุหลาบทะเลทราย) นอกจากนี้ตามความเชื่อของคนไทยชื่อ "ชวนชม" ยังเป็นชื่อที่มีความไพเราะเป็นศิริมงคล และชาวจีนว่า "ปู้กุ้ยฮวย" ซึ่งแปลว่า ดอกไม้แห่งความร่ำรวย แต่ดอกชวนชมมีสาร abobioside, echubioside ตรงนำ้ยางสีขาว ถ้าน้ำยางถูกผิวหนังจะทำให้ผิวหนังอักเสบเป็นผื่นแดง ถ้าเข้าตา ตาจะอักเสบ กินเข้าไปจะเป็นพิษ แต่น้ำยางมีรสขมมาก โอกาสกินมีน้อย ถ้ากินจะมีผลต่อหัวใจ อาการเบื้องต้นจะทำให้ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ตาพร่า หัวใจเต้นอ่อน ความดันลดลงอาจตายได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น